กิ้งก่า เป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับ กิ้งก่าโดยมากแล้วเป็นสัตว์กินเนื้อ โดยจะกินแมลงและสัตว์ขาปล้องเป็นหลักแต่สำหรับในวงศ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น วงศ์เหี้ย จะกินสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วย แต่ขณะที่บางชนิด เช่น อีกัวน่าเขียว ที่พบในอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ กินพืชและผักเป็นอาหารหลัก กิ้งก่าพบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก ยกเว้นในบริเวณอาร์กติก แถบขั้วโลกเหนือและทวีปแอนตาร์กติกา แถบขั้วโลกใต้ มีขนาดแตกต่างกันมากตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตร จนถึงเกือบ 3 เมตร ในมังกรโคโมโด ที่หนักได้ถึงเกือบ 100 กิโลกรัม ซึ่งนับเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดในอันดับย่อยนี้ ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานไว้แล้วกว่า 19 วงศ์ ประมาณ 555 สกุล รวมทั้งหมดราว 4,184 ชนิด ซึ่งจำนวนนี้ไม่แน่นอน เพราะมีการสำรวจค้นพบชนิดใหม่ ๆ ขึ้นทุกปี
ปัจจัยการเปลี่ยนสีของกิ้งก่า
กิ้งก่า สามารถเปลี่ยนสีเพื่ออำพรางตัว ซึ่งเป็นความเข้าใจแบบผิดๆ แต่ความจริงแล้วปัจจัยที่ทำให้กิ้งก่าเปลี่ยนสีนั่นคือ การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย เนื่องจาก กิ้งก่าไม่สามารถสร้างความร้อนในร่างกายได้ และอีกปัจจัยหนึ่งคือด้านอารมณ์ อย่างเช่นในภาวะปกติผิวหนังของ กิ้งก่าคามิเลี่ยน จะแสดงสีเขียว ในขณะที่โกรธจะแสดงสีเหลือง สดใส
ผิวหนังของกิ้งก่า
ผิวของกิ้งก่าเกือบทั้งหมดมีองค์ประกอบโปรตีน (เคราติน) และ lipids (ไขมัน) เกล็ดจะแตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์และปกคลุมส่วนใหญ่ของ ร่างกายและแขนขา มันอาจประกอบด้วยส่วนที่เหมือนกัน ประกอบด้วยส่วนที่ต่างชนิดกัน ลักษณะเป็นปุ่มคล้ายลูกปัด ลักษณะหยาบ หน้าที่เบื้องต้นของผิวหนัง ของกิ้งก่า คือการรักษาความสมบูรณ์มั่นคงของร่างกายมันเป็นแนวกั้น ในการปกป้องอวัยวะภายในและรักษา ความสมดุลของสารเคมีและอุณหภูมิร่างกายภายในที่เหมาะสม มันยังถูกใช้เป็นสิ่งปิดบังพฤติกรรมซ่อนเร้นและเป็นอวัยวะหนึ่งที่ใช้ในการสื่อสารอีกด้วย(เซลล์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสี) นั้นไวและทำปฏิกิริยากับรังสี อินฟราเรด, UV, และบางส่วนของแถบคลื่นแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า, แต่บทบาทการปกป้องของ integument (หนังส่วนนอกของกิ้งก่า) มีความจำกัดต่อการรักษาน้ำภายในและการควบคุมอุณหภูมิ, ตามที่พวกมันไม่มีต่อม ผลิตไขมันที่สร้าง sebum (สารประกอบทางเคมีหนึ่งที่มีแบคทีเรียค่า pH ต่ำและเป็น ตัวป้องกันน้ำ)
กิ้งก่า ลอกคราบออกเป็นหลายชิ้น การลอกคราบมักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงเวลาการเจริญเติบโตว่ารวดเร็วหรือช้า กิ้งก่าคาร์เมเลี่ยนที่ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกจะหลุดออกตามรอยต่อ ระหว่างเกล็ดหรือสะเก็ดหนังกำพร้า แล้วจึงแยกตัวออกจากผิวหนังที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ใต้ชิ้นหนังเดิมจะแห้งลงและแข็งขึ้นหลังจากนั้นก็จะหลุดออก ในการลอกคราบอาจใช้เวลาสองสามวันถึงจะเสร็จสิ้น แต่เมื่อบางส่วนของผิวหนังลอกออกไม่หมด กิ้งก่าจะถูออกโดยการใช้กิ่งไม้ และเพราะว่าการลอกผิวหนังบน เปลือกตาและจมูกอาจทำให้การมองเห็นมีปัญหา มันจึงพยายามลอกทิ้งอยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กิ้งก่า ชอบที่จะลอกผิวหนังเพราะพวกมันมักจะกินคราบของตัวเองหรือตัวอื่น
เส้นประสาทรับความรู้สึกพบได้ในผิวหนังของกิ้งก่านอกจากความสามารถรับรู้ทางแสงและความร้อนแล้ว ผิวหนังชั้นนอกของพวกมันยังไวต่อการสัมผัสอีกด้วย สามารถเปลี่ยนสีผิวตามอารมณ์นั้น ๆ ได้ ก็เนื่องมาจากลักษณะพิเศษของชั้นผิวหนัง และเม็ดสี ผิวหนังชั้นนอกเหล่านี้ตอบสนองต่อแสงและความร้อน ส่วนผิวหนังชั้นในจะตอบสนองต่อสารเคมี เป็นสาเหตุทำให้เซลล์มีการหดและขยายตัว อย่างเช่นในภาวะปกติผิวหนังของ คามิเลี่ยน จะแสดงสีเขียว ในขณะที่โกรธจะแสดงสีเหลือง